รุ่งเช้าของฤดูใบไม้ร่วง เดือนพฤศจิกายน ได้มีการรายงานว่า พบศพผู้เสียชีวิตจำนวน 7 ราย และผู้ที่ได้รับบาดเจ็บจำนวน 1 ราย รวมทั้งสิ้น 8 ราย ณ บ้านพักตากอากาศกลางหุบเขา คดีดังกล่าวกลายเป็นคดีสะเทือนขวัญ เนื่องจากพยานแวดล้อมระบุว่าผู้เสียชีวิตทั้งหมดเสียชีวิตในเวลาไล่เลี่ยกันและไม่มีใครเข้าหรือออกบ้านหลังนั้นเลยนอกจากกลุ่มคนทั้ง 8 เป็นคดีบ้านปิดตาย ทำให้เบื้องต้นทางตำรวจได้สันนิฐานว่าทั้ง 8 คนอาจจะทำการสังหารหมู่กันเอง ทว่ายังไม่ได้ข้อสรุปแน่นอนจึงต้องสืบสวนกันต่อไป
...
น่าเบื่อ….น่าเบื่อเป็นบ้า….
“......”
ใบหน้าคมแหงนขึ้นมองฝ้าเพดานสูงในห้องของตน โคมไฟแชนเดอร์เลียร์ที่หรูหราเกินพอดียังคงยังคงทำหน้าที่ของมันอย่างดี แต่สำหรับเขาในตอนนี้กลับคิดว่ามันช่างแยงตาน่ารำคาญเสียจริง
ทั้งสิ่งของมากมายที่เพียงแค่บ่นออกมาลอยๆสักสองสามคำ คนรับใช้ก็จะรีบวิ่งแจ้นไปจัดหามาให้ถึงที่โดยที่เขาไม่ต้องกระดิกนิ้วเลยสักนิด
ทั้งเงินที่ใช้อย่างไรก็ไม่เคยหมด เยอะเสียจนเขาเลิกมองราคาสินค้าไปตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่รู้ ทุกวันนี้เขาเองก็จำไม่ได้ว่าเคยมีหรือใช้เงินไปมากเท่าไหร่แล้ว
ทุกสิ่งทุกอย่างที่เขาอยากได้ เขาก็ได้มันมาอย่างง่ายๆ เรียกได้ว่าเกิดมาบนกองเงินกองทอง เกิดมาบนหอคอยงาช้าง สมกับเผ็นลูกชายหัวแก้วหัวแหวนของมหาเศรษฐีอย่างไม่ต้องสงสัย
ใช่ เขามีทุกอย่าง….ยกเว้นสิ่งที่เด็กทุกคนต้องการมากที่สุด….
เขาไม่เคยได้รับทั้งความรักและเวลาจากพ่อแม่ พ่อแม่ที่เก่งแต่หาเงิน คิดว่าการมีเงินมากๆเพื่อเติมเต็มความสุขทางกายคือการเลี้ยงลูกที่ถูกต้อง อันที่จริง เขาแทบจะลืมไปแล้วว่าได้กอดแม่เป็นครั้งสุดท้ายเมื่อไหร่ หรือกระทั่งไม่ได้เล่นปาบอลกับพ่อมานานแค่ไหนแล้ว
เขารู้สึกว่างเปล่า….กลวงเปล่า ข้างในไม่มีอะไรเลยนอกจากความว่างเปล่า
.
.
เขาอยากจะมีชีวิต….มากกว่านี้จังเลย
“นี่มันว่าง….เกินไปแล้ว” เขาพูดเสียงครวญ พลางนอนบิดขี้เกียจบนโซฟาหนังอย่างดี พลิกตัวตะแคงข้าง มองโน๊ตบุ๊คที่เปิดหน้าเว็บเพจค้างเอาไว้ เขาใช้มือข้างหนึ่งรองคอแทนหมอน ส่วนอีกข้างก็เลื่อนหน้าต่างเว็บเพจขึ้นลงเพื่อดูความเคลื่อนไหวของสมาชิก
ตัวหนังสือค่อยๆไหลผ่านสายตาเขาไป บรรทัดแล้วบรรทัดเล่า เขาพ่นลมหายใจออกมาเมื่ออ่านเนื้อความในแต่ละบรรทัดไปเรื่อยๆ ชีวิตหนึ่งวันของเขาช่างน่าเบื่อ เบื่อจนรู้สึกเหมือนจะขาดใจตายเสียให้ได้ ราวกับเป็นตลกร้าย ไม่ว่าใครก็คงจะอยากมีชีวิตแบบเขา เกิดมาพรั่งพร้อมด้วยรูปสมบัติและทรัพย์สมบัติ มีเงินให้ใช้เท่าไหร่ก็ได้ไม่ขาดมือ ไม่ว่าจะอยากได้อะไร เพียงแค่เอ่ยคำเดียว สิ่งนั้นก็จะมาอยู่ตรงหน้าทันทีราวกับสั่งได้ ชีวิตเยี่ยงราชาแบบนี้ใครจะไม่ต้องการ
แต่เชื่อเถอะ มันไม่ได้สวยหรูอย่างที่ใครๆพูดนักหรอก
มนุษย์เราหากไม่ได้พบสิ่งกระตุ้นเสียบ้าง สักวันความรู้สึกในฐานะมนุษย์จะค่อยๆตายด้านลงไป….ไม่ว่าจะเป็นความโกรธ ความเศร้า ความผิดหวัง การดิ้นรนเพื่อให้ได้ในสิ่งที่ต้องการ สิ่งเหล่านั้นคือยาดีที่จะช่วยให้มนุษย์นั้นยังมีความเป็นมนุษย์อยู่
ถ้าได้ทุกอย่างมาง่ายๆ….ชีวิตนี้คงน่าเบื่อเจียนตายแน่….
ไม่สิ…
.
.
.
ถ้าให้พูดให้ถูกแล้ว….นี่มันก็เหมือนว่าเขาตายไปแล้วไม่ใช่หรือไง?....
“ตายทั้งเป็น...มันเป็นแบบนี้รึเปล่านะ”
เขาพูดพึมพำ มือยกขึ้นก่ายหน้าผาก ครุ่นคิดถึงช่วงชีวิตที่ผ่านมาของตัวเอง เหอะ อย่างกับขยะ ใช้ชีวิตไปวันๆบนกองเงินกองทองของพ่อแม่ อยากได้อะไรก็ได้ ชีวิตสวยหรู? นี่มันขยะไร้ค่าชัดๆ
เขาอยากจะ….มีความรู้สึก
เขาอยากรู้สึกโกรธ
เขาอยากรู้สึกผิดหวัง
เขาอยากรู้สึกเสียใจ
เขาอยากจะมีชีวิต
ชีวิต ‘จริงๆ’
“แต่ยังไงล่ะ….”
เขาขยับตัวขึ้นมานั่ง เสื้อผ้าแบรนด์เนมยับย่นจนดูไร้ราคา ดวงตายังคงจับจ้องที่หน้าจอโน๊ตบุ๊ค มองกระแสข่าวออนไลน์ที่ไหลไปเรื่อยๆ
ออนไลน์….
รอยยิ้มค่อยๆปรากฏขึ้นบนหน้าของชายหนุ่ม
“จริงสิ...ยังมีวิธีนี้อยู่นี่นา”
ปลายนิ้วจัดการพิมพ์ข้อความลงไปบนหน้าจอแล็บท็อป ปากก็ออกคำสั่งให้คนรับใช้ไปเตรียมการบ้านพักตากอากาศที่ไม่ได้เข้าไปใช้เสียนาน ….แต่ถึงจะเรียกว่าบ้านพักตากอากาศ เรียกว่าคฤหาสน์ขนาดย่อมๆจะเข้าเค้ากว่า ถึงมันจะมีเพียงแค่สองชั้น แต่ก็ตกแต่งอย่างดีและกว้างขวาง เพียงพอให้คนเป็นสิบหรือสักสองสามครอบครัวอาศัยอยู่กันได้อย่างสบายๆ บ้านพักหลังนั้นตั้งอยู่ในป่าบนภูเขา ที่ดินของตระกูลที่ปกติแล้วจะไม่มีใครเข้าไปนอกเสียจากจะได้รับอนุญาต
ถ้าเขาสามารถจัดงานที่รวมคนสักจำนวนหนึ่งเอาไว้ด้วยกันได้….นั่นก็แปลว่าเขาจะทำ อะไรก็ได้
หลังจากกดส่งข้อความออกไปแล้ว เขาก็ยิ้มน้อยยิ้มใหญ่กับตนเอง แค่คิดก็ตื่นเต้นแทบแย่แล้ว เสียงหัวใจนี่มันยังไงกันนะ นี่สินะความตื่นเต้นที่เขาไม่ได้สัมผัสมานาน
ชายหนุ่มปัดของบนโต๊ะทิ้งไปแบบลวกๆ ทั้งของแบรนด์เนม ขนมหวานจากร้านชื่อดัง กระทั่งเครื่องเกมและอื่นๆตกจากโต๊ะระเนระนาด เขาไม่ได้สนใจของราคาแพงที่ตกกระจาย คุณก็รู้ เขาเลิกดูราคาสิ่งของบนฉลากหรือป้ายกำกับราคาไปนานแล้วเพราะว่ามันไม่จำเป็น ยูกิควานหาโทรศัพท์มือถือขึ้นมาเพื่อติดต่อหาคนๆหนึ่ง
.
.
“ฮัลโหลมิคาโดะคุง~ เพื่อนฝูงโทรมาหาก็ใจดีกันหน่อยซิ” เขาพูดด้วยน้ำเสียงสดใส ที่ปลายสายคือเพื่อนที่เขารู้จักกันมานาน ...ยังไงซะก็เพราะเป็นคนระดับเดียวกันนั่นแหละ เจอกันครั้งแรกตั้งแต่งานเลี้ยงสักงาน….นานมากจนแทบจำไม่ได้แล้วสิ
[โอ้ ยูกิคุง ฉันล่ะดีใจจริงๆที่นายโทรมางั้นแค่นี้นะ บาย]
“เอ๋ เดียวซิ โทษ ๆ ไม่แกล้งแล้ว ๆ เฮ้อ หยอกนิดหน่อยเอง” ถึงจะพูดแบบนั้น แต่เขากลับหัวเราะชอบใจที่ได้ยินเสียงหงุดหงิดจากปลายสาย
[ตกลงมีอะไร รีบ ๆ พูด ฟังเสียงนายพูดแล้วฉันอยากจะอ้วก]
“อย่าใจร้ายนักเลยพ่อหนุ่มน้อย แค่คิดถึงเพื่อนเก่าเพื่อนแก่นิดหน่อย เห็นนายยอมมางานเลี้ยงสัปดาห์หน้า ฉันล่ะดีใจ๊ ดีใจ ไม่ได้เจอนายตั้งนานได้ข่าวว่าหนีออกจากบ้านนี่ บ้านใหญ่นายอารมณ์เสียน่าดูแต่พวกพี่ ๆ นายดีใจอย่างกับอะไรดี”
[อืม พวกบ้านั่นก็ต้องดีใจอยู่แล้วคนหารสมบัติกับคนชิงตำแหน่งหัวหน้าของตระกูลหายไปตั้งคนหนึ่งนี่แล้วเป็นไงพวกนั้นยังตามฉันอยู่ไหม]
“ก็นะ คงหาจนกว่าจะแน่ใจว่านายตายล่ะมั้ง ไม่เห็นตัวก็ต้องเห็นศพประมาณนั้น” เขาเอนตัวลงนั่งพิงหมอนอิงในระหว่างที่บทสนทนาดำเนินต่อไปเรื่อยๆ
[เออ ขอบใจ มีไรอีกไหมจะวางแล้ว]
“มาบอกแค่นี้แหละ งานสัปดาห์หน้าต้องมาให้ได้นะ อย่าเบี้ยวเชียว ไม่งั้นฉันจับนายโยนกลับเข้าบ้านใหญ่แน่”
[รู้แล้วน่าไปแน่ แล้วเจอกัน บาย]
เมื่อสายตัดไป เขาก็โยนมือถือไปบนโต๊ะแบบส่งๆ ในหัวครุ่นคิดถึงสิ่งที่เขาต้องเตรียมตัวก่อนถึงวันงานพบปะครั้งแรกของเว็บบล็อกของเก่านี้
รอยยิ้มของเขาฉีกกว้างขึ้นโดยไม่รู้ตัว
.
.
.
แทบรอไม่ไหวแล้ว
….
1 สัปดาห์ต่อมา
ยูกิตอนนี้อยู่ที่บ้านพักแล้ว เขาเฝ้ารอการมาของทุกคนอย่างใจจดใจจ่อ ทุกอ่างถูกเตรีมการอย่างดี ทั้งที่พักที่ถูกทำความสะอาดจนใหม่เอี่ยม บรรยากาศดีๆด้านนอกตัวอาคาร และอาหารแบบฟูลคอร์สที่เขาจัดเตรียมมาเป็นอย่างดี เขาอยากจะให้ทุกคนประทับใจ คืนนี้จะต้องเป็นคืนที่พิเศษมากแน่ๆ
เพื่อให้คู่ควรกับการเป็น คืนแรก ของเขาด้วย
ไม่นานนัก คนขับรถของเขาก็ติดต่อมา รวมถึงยามที่อยู่หน้าประตูใหญ่ว่าแขกทยอยมาถึงแล้ว เขาไม่รอช้า รีบสวมคราบคุณหนูผู้ดีเหมือนอย่างเคย เขาต้อนรับผู้มาเยือนทุกคนอย่างเป็นมิตร รอยยิ้มเปื้อนบนใบหน้าเหมือนทุกครั้งที่เขามีโอกาสได้เข้าสังคม แต่ครั้งนี้เห็นทีรอยยิ้มของเขาจะดูมีความสุขกว่าที่เคย คนรับใช้ทั้งหลายรู้สึกแบบนั้น ทว่าไม่มีใครนึกเอะใจอะไร คิดแค่เพียงว่านายน้อยผู้เก็บตัวคงจะได้พูดคุยอย่างสนุกสนานกับคนที่มีความชอบเหมือนๆกันแล้ว ช่างน่ายินดีๆ
ไม่มีใครรู้ว่าในใจของเขาตอนนี้กำลังคิดทบทวนแผนการบางอย่างอยู่ด้วยความตื่นเต้น
มื้อเย็นผ่านไปอย่างเรียบง่าย….เรียบง่ายในมาตรฐานของคนรวย อาหารฟูลคอร์สถูกนำออกมาเสิร์ฟให้กับแขกทั้งเจ็ดคน ไวน์และบรั่นดีราคาแพงถูกเปิดขวดและเทใส่แก้วแจกจ่ายอย่างไม่สียดาย เสียงพูดคุยยังคงดังต่อเนื่องด้วยความคึกครื้นตั้งแต่ช่วงวลามื้อเย็นไปจนถึงช่วงค่ำ บางคนก็เอาของเก่ามาประมูลแลกเปลี่ยนกัน บางคนก็ดูจะมีความสุขกับการพูดคุยเฉยๆ หรือนั่งจิบไวน์ไปด้วยเคล้าบรรยากาศ
ยูกินั่งอยู่บนโซฟาตัวเดียวกันกับมิคาโดะผู้เป็นเพื่อน พูดคุยสัพเพเหระไปเรื่อยเปื่อย ก่อนที่เขาจะลดสายตาลงมองโฮชิที่นั่งตัวลีบๆอยู่อีกฝั่งของโซฟา
“นายน่ะเหรอคนที่มิคาโดะพามา?....เฉิ่มอย่างที่นายพูดไม่มีผิด”
“ใช่ไหมล่ะ? ไอ้จืดมันเฉิ่มซะไม่มี ดูสิ ขนาดกินของดี ๆ ที่นายจัดให้ก็ยังกลบความจนไว้
ไม่มิด” มิคาโดะพูดสมทบ และพวกเขาก็หัวเราะชอบใจกันใหญ่
“เหม็นกลิ่นคนจนชะมัด แม่ของไอ้หมอนี่คงเก็บมันมาจากถังขยะละมั่ง ไม่สิ คงมาจากถังขยะทั้งแม่และลูกนั่นแหละ”
“เอาเถอะ ยังไงฉันก็เป็นคนใจกว้าง สนุกกับการใช้เวลาอยู่ที่นี่ให้เต็มที่เถอะ เพราะคนอย่างนายคงไม่มีโอกาสแบบนี้อีกเป็นครั้งที่สองแล้วล่ะนะ”
ยูกิไม่ได้รู้ตัวเลยว่าเขาเพิ่งจะเปิดประตูสู่ความตายด้วยตัวของเขาเอง แน่ล่ะว่าเขาไม่รู้ตัวอยู่แล้ว เพราะตอนนี้เขาไม่ได้สนใจอะไรมากไปกว่าแผนการที่อยู่ในหัวของเขาตอนนี้
”สุมิเระ ไหวไหมหน้าตาเธอดูไม่ค่อยดี” ซากุระ หนึ่งในผู้ที่มาร่วมงานประมูลครั้งนี้พูดกับคนสนิทที่เธอพามาด้วย
“ตอนมื้อเย็นฉันจะมาช่วยนะคะ”
“ไปพักเถอะจ้ะ …เดี๋ยวทางนี้ฉันจัดการต่อเอง ”
เสียงพูดคุยของหญิงสาวทั้งสอง หนึ่งในแขกที่เข้าพักในคืนนี้ดังขึ้น ดึงดูดความสนใจจากเขาได้เป็นอย่างดี ฮาตาโอกะมองตามหลังหญิงสาวที่เดินออกจากห้องไป รอยยิ้มผุดขึ้นที่ริมฝีปาก เป็นครั้งแรกในรอบหลายปีเลยที่หัวใจของเขาเต้นระรัว ดูท่าทางจะถึงเวลาแล้ว
เขาไม่ได้รู้สึกแบบนี้มานานแล้ว
“โทษทีนะ ขอไปเข้าห้องน้ำก่อนล่ะ”
หลังพูดจบ เขายันกายลุกขึ้นและเดินออกจากห้องโดยทิ้งแก้วบรั่นดีเอาไว้ ทว่าเขาไม่ได้เลี้ยวไปทางห้องน้ำของบ้านพัก กลับก้าวเท้าอย่างเงียบเชียบตามหลังหญิงสาวไปที่ห้องพัก ยิ่งเข้าใกล้ เขาก็ยิ่งได้ยินเสียงหัวใจของเขาชัดเจนยิ่งขึ้น
อีกนิดเดียว….อีกนิดเดียวเท่านั้น…
“โอ้ ขอโทษ ผมไม่ได้ตั้งใจจะทำให้คุณตกใจ….”
เขาจับบานประตูห้องของเอาไว้ อาศัยจังหวะแทรกกายเข้าไปในห้องด้วยอย่างถือวิสาสะ แต่ใครสนล่ะ เขากำลังจะบรรลุเป้าหมายแรกที่เขาวางแผนเอาไว้แล้ว….
“คุณดูไม่ค่อยดี ผมเป็นห่วงเลยตามมาดูน่ะ….”
“มีอะไร….ที่ผมพอจะช่วยคุณได้ไหม?”
ทั้งเสียงนุ่มทุ้มชวนให้ผ่อนคลาย ทั้งท่าทีเป็นมิตรอย่างเสแสร้งที่เขาทำมาเป็นร้อยเป็นพันครั้งตลอดชีวิตนี้ ในระหว่างที่หลอกล่อด้วยคำพูดแสนหวาน มือของเขาค่อยๆบิดประตูลงกลอนอย่างเงียบเชียบโดยเอาร่างกายบังเอาไว้ ถ้ามีใครเข้ามารบกวนคงไม่ดีนัก เขาไม่อยากจะถูกขัดจังหวะ แน่นอนว่าไม่อยากให้เหยื่อตัวอื่นๆต้องแตกตื่นด้วย
“คนสวยๆแบบคุณน่ะ….ไม่เหมาะกับน้ำตาหรอกนะ….”
เขาเอื้อมมือไปหยิบมีดที่เหน็บเอาไว้ด้านหลังใต้เสื้อคลุม ในจังหวะที่สาวน้อยละสายตา ใบมีดเล่มนั้นก็ถูกเงื้อขึ้น และแทงลงไปทันที
เสียงกรีดร้องถูกกลบหายไปในผนังที่เก็บเสียง ไม่มีใครในงานเลี้ยงด้านนอกที่ได้ยินเสียงของเธอแน่นอน เขาใช้น้ำหนักตัวกดร่างของเธอเอาไว้ไม่ให้หนี สองมือจับมีดแล้วแทงลงไปซ้ำๆ อุณหภูมิของเลือดที่กระเด็นมา เสียงกรีดร้องขอชีวิตที่แผดลั่น สัมผัสของผิวเนื้อที่ได้รับผ่านปลายมีด
นี่แหละ….นี่แหละสิ่งที่เขาตามหา….
นี่แหละชีวิต….
“มันเป็นอย่างนี้นี่เอง….”
เขารำพึงกับตนเอง ขณะมองร่างของหญิงสาวที่ไร้ลมหายใจอยู่บนพื้นห้อง ทั่วทุกที่เจิ่งนองไปด้วยเลือดจนแดงฉาน เขาสะบัดผ้าคลุมที่เปื้อนเลือดออก ก่อนจะเอื้อมมือไปหยิบชุดสำหรับเปลี่ยนที่เขาแอบวางไว้ใต้เตียงอยู่ก่อนแล้ว
.
.
.
หลังจากเปลี่ยนชุดและเช็ดคราบเลือดจนเรียบร้อย เขาก็ถือชุดเปื้อนเลือดที่ถูกห่อด้วยเสื้อคลุมออกมาจากห้อง และโยนทิ้งไปทางหน้าต่างที่อยู่ติดกับด้านที่เป็นป่าลึก
ใครสนกันล่ะว่าจะมีแขกคนไหนมาเจอ….
ยังไงเขาก็ตั้งใจจะฆ่าให้หมดอยู่แล้ว
…
หลังจากนั้นเขาก็เดินกลับไปที่ห้องนั่งเล่น ทำทีเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น เขานั่งลงที่เดิมและหยิบแก้วบรั่นดีของตนขึ้นมาจิบ ปรายตามองไปทางโฮชิที่ยังนั่งอยู่ตรงนั้น บางทีคนต่อไปควรจะเป็นเจ้ายาจกนั่น….ดีเหมือนกัน เห็นว่าอยู่ตัวคนเดียว แม่ก็ตาย มันหายไปสักคนก็คงไม่มีใครทันสังเกต….
…
“อึก….”
เขาสะบัดหัวไปมาเบาๆ มีบางอย่างผิดปกติ ทุกอย่างเหมือนหมุนคว้างไปหมด เปลือกตาของเขาหนักอึ้งอย่างที่ไม่เคยเห็นมาก่อน ร่างกายช่วงบนของเขาโงนเงนไปมา ก่อนจะฟุบลงกับที่วางแขนของโซฟา
บ้าน่า เขาไม่ได้คออ่อนขนาดนั้นซักหน่อย?
ตุบ….
---------------------------------------------------------------------------
ในวันรุ่งขึ้น เมื่อพนักงานทุกคนกลับเข้ามาเพื่อรับแขกกลับไปส่งที่จุดลงรถ พวกเขากลับเจอกับภาพอันน่าสะพรึงกลัวอย่างที่สุด
แขกทุกคนที่ถูกเชิญมา ต่างกลายป็นศพอยู่ตามที่ต่างๆในคฤหาสน์ ด้วยลักษณะการตายที่ต่างกัน แต่มันไม่ได้ช่วยให้ทุกอย่างดูโอเคขึ้นเลย….ไม่เลยสักนิด ที่นี่เกิดอะไรขึ้น? นี่มันภาพของนรกหรือยังไงกัน
“ห้องนี้ก็ด้วย”
“ทางนี้ด้วย”
“นี่มันเกิดบ้าอะไรขึ้นกันเนี่ย”
“รีบแจ้งตรวจเร็วเข้า!”
คนรับใช้ต่างพากันโหวกเหวกโวยวาย วิ่งวุ่นกันไปทั่วบ้านพักเพื่อตามหาคนที่อาจจะยังรอดชีวิต แต่ไม่เลย แขกทั้งเจ็ดคนล้วนเสียชีวิตแล้วทั้งหมด นับได้ 7 ศพพอดี
แล้วนายน้อยล่ะ?
กรี๊ดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดด
“นายน้อย!! นายน้อยคะ!!!”
“เรียกรถพยาบาล เรียกรถพยาบาลเร็วเข้า!!!”
“เขายังหายใจอยู่!!!”
.
.
.
.
.
ที่นี่….ที่ไหน?....
ทำไมมันมืดไปหมด….
….ขยับตัวไม่ได้….
ฉัน….ถูกขังเหรอ….
“หมอเสียใจด้วยนะครับ”
“เขาได้รับสารพิษจำนวนหนึ่ง ไม่ถึงแก่ชีวิตก็จริง….แต่ว่า….”
นายแพทย์พูดด้วยสีหน้าลำบากใจกับสามีภรรยาวัยกลางคนคู่หนึ่ง ก่อนที่เขาจะค่อยๆหันกลับมามองร่างที่นอนอยู่บนเตียง เต็มไปด้วยเครื่องมือพยุงชีพและสายระโยงระยางเต็มไปหมด
“เขาจะกลายเป็นเจ้าชายนิทรา….ที่มีชีวิตอยู่ได้ด้วยเครื่องช่วยหายใจเท่านั้นแหละครับ”
“เรา….ทำอะไรไม่ได้แล้ว”
เสียงร้องไห้ของผู้เป็นแม่ดังแว่วมาในโสตประสาท ใครจะรู้ คนที่นอนเป็นผักปลาอยู่ตรงนั้นจะสามารถรับรู้ทุกอย่างได้….
ใช่ เขารับรู้ แต่เขาทำอะไรไม่ได้
ทำได้เพียงอยู่กับตัวเอง….ในความมืดที่ไม่มีที่สิ้นสุด
เสียงหัวใจของเขาเต้นแผ่วเหลือเกิน
นี่เหรอชีวิตที่เขาฝันหามาตลอด
.
.
.
กลายเป็น….ขยะไร้ค่าไปจริงๆซะแล้วสิ
----------------------------------------------------------------------------------
บันทึกการสอบสวน คดีฆาตกรรมในคฤหาสน์กลางป่า
ผู้ที่อยู่ในเหตุการณ์คนสุดท้าย
ฮาตาโอกะ ยูกิ
ถูกสารพิษที่ส่งผลโดยตรงต่อระบบประสาทในปริมาณหนึ่ง ไม่ถึงแก่ชีวิต แต่ไม่รู้สึกตัวและเป็นเจ้าชายนิทรา ไม่สามารถให้ปากคำเกี่ยวกับคดีที่เกิดขึ้นได้
----------------------------------------------------------------------------------
จนถึงตอนนี้
ฆาตกรคนที่ 8 ก็ยังคงติดอยู่ที่นั่น
ติดอยู่ในห้องปิดตาย….ที่เขาจะไม่มีวันกลับออกมาได้
.
.
.
ตลอดกาล
コメント